It's so kool Blog

the first thought of the rest of my life

Monday, August 29, 2005

ภาวนา

ถ้าให้เราเลือกได้ คงไม่มีใครอยากอยู่ห่างจากคนที่เรารัก
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า ระยะทางที่ห่างไกลกัน จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
คนที่อยู่มุมหนึ่งของโลก อาจนั่งนับวันคอยว่า เมื่อไหร่จะถึงวันที่จะได้พบหน้ากัน
และต้องนึก ต้องสงสัยไปเองว่า คนที่อีกมุมหนึ่งของโลก จะคิดแบบเดียวกับเราหรือเปล่า

ในความเป็นจริง เราไม่สามารถเลือกได้ว่า เราจะอยู่ใกล้หรือไกลจากคนสำคัญของเราเพียงใด
จริงอยู่ ที่โลกทุกวันนี้แคบลงด้วยการติดต่อสื่อสาร แต่ความรักของคนหลายๆ คน ต้องการมากไปกว่าแค่การพูดคุย
บางทีความรักต้องการความเอาใจใส่ ต้องการการมองตา ต้องการการสัมผัส
ระยะทางจึงมักกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ระหว่างความห่างไกล กับความรัก อะไรมีผลกระทบต่อความรู้สึกมากกว่ากัน

กฎทางฟิสิกส์ข้อหนึ่ง ที่สามารถใช้ได้ทุกที่ นั่นก็คือ จะมีแรงดึงดูดระหว่างมวลสองมวลเสมอ
คนสองคนก็เช่นเดียวกัน เมื่อระยะทางห่างกันมากขึ้น แรงดึงดูดระหว่างกัน ก็อาจลดน้อยลงเป็นธรรมดา แต่ใช่ว่าจะไม่เหลือแรงดึงดูดระหว่างกันเสียเลย
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระจันทร์อาจโดนแรงเหวี่ยง หลุดออกไปจากโลก แต่จนทุกวันนี้ พระจันทร์ก็ยังคงหมุนโคจรรอบโลกอยู่
บางครั้งสวรรค์อาจแกล้งให้มี ‘แรงเหวี่ยง’ ให้คนสองคน มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ห่างไกลกัน แต่ความจริงสวรรค์อาจเพียงต้องการทดสอบว่า ‘แรงดึงดูด’ ที่เรียกว่า ‘ความคิดถึง’ จะมีอยู่เนิ่นนานเพียงใด

แต่ความคิดถึงก็มีข้อจำกัดของมัน ลองนึกภาพคนๆ นึง ตื่นมาในแต่ละวัน เพื่อเจอกับสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ผู้คนเดิมๆ แต่ที่ขาดไปก็คือ คนที่เข้าใจกันมากที่สุด
ในขณะที่อีกคนอาจตื่นขึ้นมาพบเจอกับโลกอีกแบบ สังคมอีกแบบ และต้องการเวลาที่จะทำความรู้จักกับผู้คนมากมายที่เพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิต
เมื่อเป็นอย่างนี้ ต่อให้กี่พัน กี่หมื่นความคิดถึง ก็อาจไม่ช่วยย่นระยะทางของความห่างไกลลงได้
ไม่แปลก ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต้องการส่วนเติมเต็ม ที่จะเข้ามาทดแทนที่ว่างที่ขาดหายไปเพราะอยู่ไกลกัน

คนบางคนอาจเคยชินกับการที่จะมีใครซักคนอยู่ใกล้ๆ คอยให้กำลังใจกัน ถ้าขาดคนที่เคยอยู่ข้างๆ ไป ย่อมรู้สึกเหงา และอาจต้องการ ‘ใคร’ อีกคนมาอยู่แทนที่ - ที่ที่เคยเป็นของเรา
สิ่งที่เราทำได้คือ ลองถามตัวเองดูว่า มีแต่เราเท่านั้น ที่เอาใส่ใจกับความรัก ในขณะที่อีกฝ่ายเลือกที่จะใช้ ‘ความห่างไกล’ เป็นข้ออ้างในการเอาใจออกห่างหรือเปล่า? หรือระยะทางที่ห่างไกล ทำให้เราไม่สามารถดูแลความรักให้ดีได้เหมือนเดิม?
เพราะบางที เราเองอาจต้องยอมรับว่า น่าจะมีใครที่ดูแลคนสำคัญของเราได้ดีกว่าเรา
แต่ถ้าไม่ว่าอยู่ห่างกันเท่าไร เรายังสามารถดูแลความรักของเราได้เหมือนเดิม โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
เราก็ทำได้เพียงภาวนาว่า คนที่เรารักจะปฏิเสธ ‘ใคร’ อีกคนไป
สิ่งดีที่สุดที่เราควรทำ คือ เชื่อใจคนที่เรารัก เหมือนที่เราหวังให้เค้าเชื่อใจเราเช่นกัน

เพราะถ้าหากเราไม่เชื่อใจกันและกัน ระยะทางก็จะเปลี่ยน ‘ความรัก’ ให้เป็น ‘ความหวาดระแวง’
ความเป็นจริงแล้ว ระยะทางที่ไกลที่สุด อยู่ระหว่างคนสองคนที่ไม่เข้าใจกัน ดังนั้นความห่างไกลที่เรามีอยู่ อาจกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าเทียบกับระยะทางที่เราสร้างขึ้นจากการไม่เชื่อใจกัน
แต่ไม่ได้หมายความว่า การไว้ใจคนที่เรารัก จะไม่ทำให้เราต้องเสียใจ
ใครจะคาดคิดบ้างว่า วันนึง คนสำคัญที่สุดของเรา อาจกลับมาอยู่ใกล้ๆ เพื่อเอ่ยประโยคที่เราไม่เคยคิดจะได้ยินมาก่อนในชีวิต

บางที คำภาวนาก็อาจจบลงด้วยรอยน้ำตา.

Thursday, August 25, 2005

Mini Series: The Bus and I (II)

เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจะมาว่ากันต่อ

Part II
คนขับรถเมล์เหยียบเบรค รถเมล์จอดป้าย
พระภิกษุรูปหนึ่งก้าวขึ้นมาบนรถ คนที่ยืนอออยู่หน้าประตูหลีกทางให้
แม่ลูกคู่หนึ่งที่นั่งอยู่เบาะติดกับประตู ข้างๆ เบาะมีตัวหนังสือ
"ที่นั่งสำรองสำหรับพระภิกษุ สามเณร"

แม่ฉุดมือลูกสาวขึ้น เจ้าตัวเล็กลุกตาม ทำหน้างงๆ
พระนั่งลง ผู้ชายอีกคนที่ยืนเกาะเสาอยู่ข้างๆ นั่งตาม
เด็กน้อยเอ่ยปากถามแม่
"ทำไมเราต้องลุกให้เค้านั่งด้วยคะ?"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

นั่นสินะ ทำไมต้องลุกให้นั่งด้วย

บางคนบอกมาว่า พระภิกษุต้องอยู่ในกิริยาสำรวม การห้อยโหนรถเมล์ดูไม่สำรวม
(แต่เชื่อเถอะว่า ผมเคยเห็นพระโหนราว BTS)
บางคนก็บอกว่า เพื่อให้พระภิกษุห่างจากการโดนร่างกายอิสตรี
บางคนบอกว่า ....

ไม่ว่าใครจะบอกยังไง เหตุผลก็คล้ายๆ กัน คือเป็นเรื่องของพระวินัย
แต่ถ้าคิดอีกทีนึง พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้คนเรามีเมตตา กรุณา
ถ้าผมเป็นพระ แล้วเด็กต้องลุกให้นั่งเนี่ย
ผมไม่นั่งได้มั๊ย ผิดศีลข้อใดใน 227 ข้อหรือเปล่า
ถ้าไม่ผิด ทำไมถึงให้เด็กนั่งต่อไม่ได้
ถ้าผิด แสดงว่า พระภิกษุต้อง trade-off ระหว่าง "พระวินัย" กับ "คำสั่งสอน" ใช่หรือเปล่า
ใครพอตอบผมได้บ้าง

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ?!

Wednesday, August 24, 2005

Mini Series: The Bus and I (I)

Mini Series: The Bus and I
ใครไม่เคยขึ้นรถเมล์บ้าง ยกมือขึ้น!
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมคนนึงล่ะ
เพราะผมกับรถเมล์นั้นผูกพันดังสายไหมในโรตีเลยทีเดียว


Part I
ขอเริ่มเรื่องแรกที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ก่อน
ผมนั่งรถเมล์สายหนึ่ง (ไม่ใช่ สาย 1 ถนนตก - ท่าเตียน แต่จำไม่ได้ว่าสายอะไร)
ขณะกำลังก้าวลงนั่น กระเป๋ารถเมล์ก็หล่นวาทะออกมาว่า

"ก้าวไวค่ะ สองประตูเลยค่ะ"

เป็นเรื่องปรกติ กระเป๋ารถเมล์คันไหนๆ เค้าก็พูดกัน
แต่บังเอิญ ผมเป็นคนเดียวบนรถเมล์คันนั้นที่ลงป้าย!!

ระวังให้ดี วัฒนธรรม 7-Eleven ระบาดมาถึง ขสมก. แล้ว

Wednesday, August 17, 2005

ไ ม่ อ ย า ก เ ลิ ก !

ใครบางคนเคยบอกกับผมว่า ตอนเรียนป.ตรี มันเหมือนกับเรากำลังคบหาดูใจกับใครซักคน
แต่พอเปลี่ยนเป็นป.โทแล้วล่ะก็ แปลว่าเราเลือกที่จะแต่งงานแล้ว

ใครบางคนที่ว่าก็คือผมเอง!

หลายๆ คนบอกผมว่า การเรียน Economics ในระดับป.โท เป็นการเรียนโดยใช้ Maths Approach
แต่ผมกลับพบว่า มันเป็นการเรียน Maths โดยใช้ Economics Approach ตะหาก (-_-")
โอเค มันอาจฟังดู satire ไปหน่อย แต่บางครั้งผมก็คิดอย่างนั้นจริงๆ
นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าผมจะปรับตัวเข้ากับมันได้ขนาดไหนมากกว่า
ผ่านมาครึ่งเทอม ผมยังปรับตัวได้ไม่ดี ไม่ดีเอาเสียเลย
จากผลงานมิดเทอม 2 ตัวแรก (และอาจจะมีตัวที่ 3 อีก) ตอนนี้มือผมกำลังเกาะขอบเหวอยู่ !!!

ผมต้องยอมรับว่า ผมยังไม่อยากเลิกกับเธอหรอก
ผมอาจจะผิดหวังบ้างเมื่อพบว่า เมื่อแต่งงานกันแล้วเธอไม่เป็นเหมือนตอนที่คบกันใหม่ๆ
จริงอยู่ที่ผมพอรู้มาบ้างว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ผมไม่นึกว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้
ผมอาจจะท้อเล็กน้อยเมื่อพบว่า ผมทุ่มเทให้กับเธอมากกว่าที่เคย แต่นั่นมันยังไม่พอ
จนบางครั้งผมเลยพาลคิดไปว่า เรา ' เข้ากันไม่ได้ ' หรือเปล่า

แต่ยังหรอก ผมยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ผมยังไม่อยากเลิก!

Tuesday, August 02, 2005

ยุงลาย - ฝักถั่ว

เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว มีใบปลิวมายังเคหสถานที่ผมซุกหัวนอนอยู่
ใจความว่า จะมีการฉีดพ่นหมอกควันกำจัดยุงลายในวันเสาร์ที่กำลังจะมาถึง
และเป็นที่แน่นอนว่า ท้ายใบปลิวจะต้องมีข้อความสำคัญอย่าง....
"โดย ส.ส. (เซ็นเซอร์) พรรค (เซ็นเซอร์)"
!??!

เข้าใจครับ เข้าใจ
เข้าใจว่า" แหม! ประชาชนอุตส่าห์เลือกดิฉันเข้ามาทำงาน
ไม่ประกาศผลงานให้ชาวบ้านรู้เลยมันก็กระไรอยู่"
แต่ ช้าก่อนครับท่าน ผมสงสัยก็แต่เพียงว่า
ไอ้ฉีดพ่นหมอกควันกำจัดยุงลายเนี่ย ต้องถึงมือท่านเลยหรือครับ?

ทีนี้ผมก็นอน (กลางวัน) ไม่หลับเหมือนอย่างที่เคย
เพราะต้องนั่งคิดต่อว่า ที่เขตบ้านผมมันก็มีทั้ง ส.ข. ส.ก. ส.ส.
ท่านผู้ทรงเกียรติแต่ละท่านมีภาระอันใดเพื่อบ้านเมืองของเรากันบ้าง
ถ้าท่าน ส.ส. ต้องเป็นธุระจัดการเรื่องการกำจัดยุงลาย แล้ว ส.อื่นๆ ท่านต้องทำอะไรกันบ้าง
ไหนจะยังมีเทศบาลกทม. อีก ผมนั่งคิดนอนคิดยังไงก็คิดไม่ออก

ไอ้ตอนที่ผมเลือกส.ส.เนีย
(คงไม่ต้องบอกว่าไม่ได้เลือกท่านนี้ แต่ถึงจะเลือกท่านอื่นก็ (อาจจะ) ไม่ต่างกัน)
ผมก็หวังลมๆ แล้งๆ ว่าท่านจะเข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้ผมในสภา
ดังนั้น แม้ว่าท่านจะมีผลงานดีเด่นเพียงใดในการกำจัดยุงลาย
แต่ผมคงมิอาจพึงพอใจได้หากท่านเป็นเพียง "ฝักถั่ว" ในสภา

แต่เอาเถอะครับ ผมไม่ได้คิดอะไรมากหรอก
เสาร์นี้ผมจะนอนสูดหมอกควันกำจัดยุงลายที่ท่านมอบให้อย่างเต็มปอด!